cartel4d
winwin4d
slot maxwin
Slot Gacor Maxwin
Slot Thailand
Login Slot Gacor
CARTEL4D
maxwin slot
link auto maxwin
nolimit city
slot gacor
slot gacor maxwin
angkatoto
slot gacor

อาหารเป็นพิษ สาเหตุ และวิธีแก้อาการอาหารเป็นพิษ 5 วิธี

อาหารเป็นพิษ (ภาษาอังกฤษ : Food poisoning) หมายถึง อาการท้องเดิน (อุจจาระร่วง) อันเนื่องมาจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษ โดยอาจเป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อโรคซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิด, สารเคมี (เช่น ยาฆ่าแมลง สารหนู สารตะกั่ว สารปรอท เป็นต้น), พืชพิษ (เช่น เห็ดพิษ กลอย) หรือสัตว์พิษ (เช่น คางคก ปลาปักเป้า แมงดาถ้วย หอยทะเล ปลาทะเล) และมักพบว่าในหมู่คนที่รับประทานอาหารร่วมกัน จะมีอาการพร้อมกันหลายคน ซึ่งอาจมีอาการมากน้อยแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคลและปริมาณที่รับประทานเข้าไป

สาเหตุ อาหารเป็นพิษ

อาการอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่มักเกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย รองลงมา คือ เชื้อไวรัส นอกจากนั้นที่อาจพบได้บ้าง คือ การปนเปื้อนปรสิต เช่น อะมีบา (Amoeba) ส่วนการปนเปื้อนสารพิษอื่น ๆ (สารเคมี พืชพิษ สัตว์พิษ) ที่ไม่ใช่จากเชื้อโรค ที่พบได้บ่อย ๆ คือ จากเห็ดพิษ อาหารทะเล สารหนู สารตะกั่ว เชื้อโรคหลายชนิดสามารถปล่อยพิษ (Toxin) ออกมาปนเปื้อนอยู่ในอาหารต่าง ๆ ได้ เช่น น้ำดื่ม เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ อาหารทะเล ข้าว ขนมปัง เนย นม และผลิตภัณฑ์จากนม ผักและผลไม้ สลัด เป็นต้น เมื่อผู้ป่วยรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษดังกล่าวเข้าไปก็จะทำให้เกิดอาการตามมาได้ (เชื้อโรคบางชนิดจะปล่อยพิษหลังจากเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอาหารเข้าไปแบ่งตัวเจริญเติบโตในทางเดินอาหารแล้วผลิตพิษออกมาทำให้เกิดอาการ) และแม้ผู้ป่วยจะรับประทานอาหารที่ปรุงสุกแล้วก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป และยังทำให้เกิดอาการได้อยู่ดี เพราะยังมีสารพิษอยู่อีกหลายชนิดที่สามารถทนต่อความร้อนได้นั่นเอง เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษ นอกจากเชื้อไวรัส (เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสโรตา ไวรัสโคโรนา ไวรัสอะดีโน), พยาธิไกอาร์เดีย, อะมีบา, อหิวาต์, ชิเกลลา และลิสทีเรียแล้ว ยังอาจเกิดเชื้อแบคทีเรียอีกหลายชนิด

  • สแตฟีโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) เป็นเชื้อแบคท่ีเรียที่ทำให้เกิดฝีหนองตามผิวหนัง อาจพบปนเปื้อนอยู่ในอาหารพวกเนื้อสัตว์ ไข่ ขนมปัง นมและผลิตภัณฑ์จากนม เชื้อจะปล่อยพิษซึ่งทนต่อความร้อนออกมาปนเปื้อนในอาหาร ผู้ที่รับประทานเข้าไปไม่ว่าจะปรุงสุกหรือไม่ก็ตามก็จะเกิดอาการอาหารเป็นพิษได้ ซึ่งจะทำให้มีอาการอาเจียนอย่างหนักเป็นอาการเด่น ร่วมกับปวดท้อง ท้องเดิน หมดแรง ความดันโลหิตต่ำ แต่ไม่มีไข้ มีระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการ) ประมาณ 1-8 ชั่วโมง และมักจะหายได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง หลังมีอาการ
  • อีโคไล (Escherichia coli) มักพบปนเปื้อนในน้ำ เนื้อสัตว์ นม เนยแข็ง สลัด เชื้อจะเข้าไปแบ่งตัวในลำไส้แล้วผลิตพิษออกมา ทำให้เกิดอาการถ่ายเป็นน้ำเป็นอาการเด่น ร่วมกับมีอาการปวดท้อง อาเจียน ไม่มีไข้ มีระยะเวลาฟักตัวประมาณ 8-18 ชั่วโมง และมักจะหายได้เองภายใน 1-2 วัน
  • ซัลโมเนลลา (Salmonella) เป็นเชื้อสายพันธุ์หนึ่งที่อยู่ในตระกูลเดียวกับเชื้อไทฟอยด์ แต่มักไม่ทำให้เกิดอาการทั่วร่างกายแบบไทฟอยด์ มักพบปนเปื้อนในเนื้อวัว เป็ด ไก่ ไข่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ผักและผลไม้ เชื้อจะเข้าไปแบ่งตัวในลำไส้แล้วผลิตพิษออกมา ทำให้มีอาการท้องเดิน มีไข้ต่ำ ๆ บางครั้งมีมูกเลือดปน มีระยะเวลาฟักตัวประมาณ 8-48 ชั่วโมง และมักจะหายได้เองภายใน 2-5 วัน แต่บางรายอาจเป็นเรื้อรังถึง 10-14 วัน
  • บาซิลลัสซีเรียส (Bacillus cereus) เชื้อชนิดนี้จะปล่อยพิษในอาหารและผลิตพิษหลังจากเข้าไปแบ่งตัวในลำไส้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ชนิดแรกจะปล่อยพิษแล้วทำให้เกิดอาการท้องเดินเป็นอาการเด่น มักพบปนเปื้อนในข้าว ผัก และเนื้อสัตว์ มีระยะเวลาฟักตัวประมาณ 8-16 ชั่วโมง ส่วนอีกชนิดจะปล่อยพิษที่ทนต่อความร้อนแล้วทำให้เกิดอาการอาเจียนเป็นอาการเด่น มักพบปนเปื้อนในข้าว (ผู้ป่วยมีประวัติกินข้าวผัดเก่าที่นำมาอุ่นใหม่) มีระยะเวลาฟักตัวประมาณ 1-8 ชั่วโมง
  • คลอสทริเดียมโบทูลินัม (Clostridium botulinum) มักพบปนเปื้อนในผักและผลไม้ที่อัดกระป๋องเองที่บ้านปนเปื้อนสปอร์ในดิน เนื้อหรือปลารมควัน หรือถนอมอาหารด้วยวิธีอื่น ทำให้มีอาการเห็นภาพซ้อน ปากคอแห้ง อาเจียน ท้องเดิน เส้นประสาทสมองอัมพาต แล้วลามลงส่วนล่างของร่างกายและการหายใจล้มเหลว มีระยะเวลาฟักตัว 12-36 ชั่วโมง หรือหลายวัน
  • แคมไพโลแบคเตอร์เจจูไน (Campylobacter jejuni) มักพบปนเปื้อนในน้ำ เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ เชื้อจะเข้าไปแบ่งตัวในลำไส้เล็กและรุกล้ำเข้าไปในเยื่อบุลำไส้แล้วปล่อยพิษออกมา ทำให้ลำไส้เล็กอักเสบ มีไข้ ถ่ายเป็นน้ำ มีกลิ่นเหม็น และอาจถ่ายเป็นเลือดในเวลาต่อมา มีระยะเวลาฟักตัวประมาณ 3-5 วัน และมักหายได้เองภายใน 5-8 วัน
  • วิบริโอพาราฮีโมไลติคัส (Vibrio parahaemolyticus) เป็นเชื้อสายพันธุ์หนึ่งในตระกูลเดียวกับอหิวาต์ อาศัยอยู่ในแพลงตอนและปนเปื้อนมากับอาหารทะเลสดหรือปรุงสุกไม่ทั่ว เช่น กุ้ง ปู หอยแมลงภู่ หอยนางรม เมื่อผู้ป่วยรับประทานอาหารทะเลแบบดิบ ๆ เชื้อจะเข้าไปแบ่งตัวในลำไส้และผลิตพิษออกมา ทำให้เกิดอาการท้องเดิน ปวดท้อง อาเจียน อาจมีไข้ร่วมด้วย และบางรายอาจมีอาการถ่ายเป็นมูกเลือดในระยะเวลาต่อมา มีระยะเวลาฟักตัวประมาณ 8-24 ชั่วโมง แต่อาจนานถึง 96 ชั่วโมง และมักจะหายได้เองภายใน 3-5 วัน

วิธีรักษาอาหารเป็นพิษ

  • ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง ถ่ายท้องรุนแรง (อุจจาระเป็นน้ำครั้งละมาก ๆ) อาเจียนรุนแรง (จนดื่มน้ำ สารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือน้ำข้าวต้มไม่ได้เลย) เมื่อลุกขึ้นนั่งแล้วมีอาการหน้ามืดเป็นลม หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง (ปากแห้ง คอแห้ง ตาโบ๋ ปัสสาวะออกน้อยมาก ชีพจรเต้นเร็ว) ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว
  • สำหรับในผู้ใหญ่ ถ้าไม่มีอาการรุนแรงดังกล่าว ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
  • ให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป โดยอาจผสมผงน้ำตาลเกลือแร่ชนิดสำเร็จรูปหรือผงโออาร์เอส (เช่น ผงน้ำตาลเกลือแร่ขององค์การเภสัชกรรม) กับต้มน้ำสุก ดื่มต่างน้ำบ่อย ๆ ครั้งละ ½ – 1 แก้ว (250 มิลลิลิตร) หรือจะใช้น้ำเกลือที่ผสมเองก็ได้ โดยให้ใช้น้ำต้มสุก 1 ขวดกลมใหญ่ (ประมาณ 750 มิลลิลิตร เทียบเท่าขวดแม่โขงกลมหรือขวดน้ำปลา) ผสมกับน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ (ประมาณ 25-30 กรัม) และเกลือป่นอีก ½ ช้อนชา (ประมาณ 1.7 กรัม) หรือจะใช้น้ำอัดลมหรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือ (ใส่เกลือ ½ ช้อนชาในน้ำอัดลมหรือน้ำข้าว 1 ขวดแม่โขง) ก็ได้ โดยให้พยายามดื่มกินต่างน้ำบ่อย ๆ ครั้งละ ⅓ หรือ ½ แก้ว (อย่าดื่มมากจนอาเจียน) ประมาณวันละ 6-9 แก้ว หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับอาการ ถ้าถ่ายบ่อยให้ดื่มน้ำบ่อยครั้งขึ้น ถ้าอาเจียนด้วยให้ดื่มทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง และให้ดื่มให้มากพอกับที่ถ่ายออกไป หรือดื่มจนกว่าปัสสาวะจะออกมากและใส หรือจนกว่าอาการท้องเสียจะทุเลาและดีขึ้น
  • นอกจากน้ำเกลือแร่แล้ว อาจจิบน้ำหรืออมน้ำแข็งที่สะอาดบ่อย ๆ และดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดการดื่มน้ำ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่จะก่อให้เกิดการสูญเสียน้ำยิ่งกว่าเดิม
  • ห้ามรับประทานยาเพื่อให้หยุดถ่ายอุจจาระ (ยาแก้ท้องเดิน) เพราะไม่มีประโยชน์ในการรักษา และถ้าใช้แบบผิด ๆ ก็อาจทำให้เกิดโทษได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กและผู้ป่วยที่มีสาเหตุมาจากโรคติดเชื้อ นอกจากนี้ยังเป็นการทำให้เชื้อโรคค้างอยู่ในร่างกายทำให้เป็นอันตรายมากขึ้นอีกด้วย (การเกิดอาการท้องเดินเป็นการช่วยขับเชื้อและสารพิษออกไปจากร่างกาย) ในปัจจุบันแพทย์จึงไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้ท้องเดินแล้ว แต่จะเน้นที่การให้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ให้ได้เพียงพอ แล้วอาการท้องเดินจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง
  • ถ้ามีไข้ ให้รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล (Paracetamol)
  • ในขณะที่มีอาการปวดท้องหรืออาเจียน ไม่ควรรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ เพราะจะยิ่งทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น
  • เมื่ออาการอาเจียนหรือปวดท้องบรรเทาลง ให้รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย มีรสจืด เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม น้ำซุป แกงจืด (ไม่ควรงดอาหารเพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร) โดยให้รับประทานครั้งละน้อย ๆ ก่อน แล้วสังเกตดูว่าอาการเป็นอย่างไร หลังจากนั้นให้ปรับอาหารไปตามอาการ (ส่วนอาหารรสเผ็ดและย่อยยาก ๆ รวมถึงผักและผลไม้ก็ควรงดไปก่อนจนกว่าอาการจะหายดีแล้ว)
  • พักผ่อนให้มาก ๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐานตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติให้ดี เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่ผู้อื่น ที่สำคัญคือ การล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะก่อนการรับประทานอาหารและหลังการขับถ่ายอุจจาระ

การรักษาอาหารเป็นพิษโดยแพทย์ แนวทางการรักษาที่สำคัญที่สุด คือ การรักษาประคับประคองตามอาการ ได้แก่ การป้องกันภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ด้วยการให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำเมื่อผู้ป่วยมีอาการถ่ายท้องมาก รวมถึงการให้ยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน นอกจากนั้นคือการรักษาไปตามสาเหตุที่ตรวจพบ เช่น การให้ยาปฏิชีวนะเมื่อเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การให้ยาต้านสารพิษถ้าพิษชนิดนั้นมียาต้าน เป็นต้น